“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุคคลมารู้อยู่อย่างไร
เห็นอยู่อย่างไร จึงไม่ยึดถือว่าเรา ไม่ยึดถือว่าของเรา
อั นเป็นอนุสัยคือ มานะ ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งปวงภายนอก? พระเจ้าข้า !”
กัปปะ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่าใด ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน
อันมีอยู่ภายในหรือข้างนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือประณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี
อริยสาวกได้เห็นสิ่งทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา (เนตํ มม) นั่นไม่ใช่เป็นเรา (เนโสหมสฺมิ)
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ดังนี้น่ันแหละ ;
กัปปะ! บุคคลต้องรู้อย่างนี้แหละ เห็นอยู่อย่างนี้แหละ จึงไม่ยึดถือว่าเรา ไม่ยึดถือว่าของเรา
อันเป็นอนุสัยคือมานะในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตภายนอกอื่นทั้งหมดนั้นแล.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! บุคคลมารู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จิตใจจึงจะเห็นธรรมชาติ
ปราศจากความยึดถือว่าเรา ปราศจากความยึดถือว่าของเรา
อั น เ ป็ น ม า น ะ เ ค รื่ อ ง ถื อ ตั ว ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งปวงภายนอก ;
อั น เ ป็ น ม า น ะ เ ค รื่ อ ง ถื อ ตั ว ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งปวงภายนอก ;
รู้อยู่อย่างไร เห็นอยู่อย่างไร จิตใจจึงจะก้าวล่วงมานะเสียด้วยดี สงบระงับได้ พ้นวิเศษไป ? พระเจ้าข้า !”
กัปปะ ! รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เหล่าใด ทั้งที่เป็น อดีต อนาคต และปัจจุบัน อันมีอยู่ภายในหรือข้างนอกก็ดี หยาบหรือละเอียดก็ดี เลวหรือประณีตก็ดี อยู่ห่างไกลหรืออยู่ใกล้ก็ดี
อริยสาวกได้เห็นสิ่งทั้งหมดนั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงขึ้นว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา(เนตํมม) นั่นไม่เป็นเรา(เนโสหมสฺมิ)
นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา (น เมโส อตฺตา) ดังนี้แล้วหลุดพ้นไป เพราะไม่ยึดมั่นนั่นแหละ ;
กัปปะ ! บุคคลต้องรู้อย่างนี้แหละ เห็นอยู่อย่างนี้แหละ
จิตใจจึงจะเป็นธรรมชาติปราศจากความยึดถือว่าเรา
ปราศจากความยึดถือว่าของเรา อันเป็นมานะเครื่องถือตัว
ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตภายนอกอ่ืนทั้งหมดทั้งสิ้นได้,
และจิตใจจะก้าวล่วงมานะเสียได้ด้วยดี สงบระงับได้ พ้นวิเศษไปด้วยดี, ดังนี้แล.
- ขนฺธ. สํ. ๑๗/๒๐๗/๓๑๙.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น